ข่าวนศ.สาวนี่จุดประกายบทสนทนาเรื่อง HIV ได้เยอะเลยนะ เลยจะขอเล่าเรื่องคอนเซป์ U=U (Undetectable=Untransmittable/ตรวจไม่พบ = ไม่แพร่) เพิ่มเติมหน่อย อาศัยช่วงที่คนให้ความสนใจกันเยอะ(1)

U=U เป็นคอนเซป์ที่เกิดจากงานวิจัยหลักๆ 3 ชิ้น (PARTNER 1,2 และ Opposite Attracts) ที่ทำในคู่ผลเลือดต่าง (คนนึงผล antiHIV บวกกับอีกคนผลลบ) ทั้งช-ช และ ช-ญ โดยคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อสามารถทานยาต้านจนกดเชื้อได้แล้ว (2)

จากการรายงานที่คู่เหล่านี้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยางกันประมาณ 120,000 ครั้ง ปรากฎว่าไม่พบการส่งต่อเชื้อเลย จึงเป็นที่มาของ U=U ที่เมื่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อกินยาจนไวรัส (HIV VL) < 200 copies/ml จะถือว่าโอกาสส่งต่อเชื้อ = 0 ในบริบทของการมีเพศสัมพันธ์ (3)

หลักการนี้ก็เป็นที่ยอมรับในองค์กรด้านสุขภาพทั่วโลก เช่น US CDC (ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐ) WHO (องค์กรอนามัยโลก) และอีกมากมาย ออกเอกสารมาเป็นแนวทางปฏิบัติให้เผยแพร่เรื่องนี้ได้อย่างกว้างขวาง (4)

แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ จากงานวิจัยหลายๆที่พบว่าจนท.สาธารณสุข ไม่ค่อยสื่อสารเรื่อง U=U ให้ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อฟัง โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย (สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 51% เท่านั้น) ซึ่งมันส่งผลต่อสุขภาพของคนที่เข้ารับการรักษาระดับใหญ่ๆเลย (5)

ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อที่ได้คุยเรื่อง U=U กับจนท.สาธาฯ มีโอกาสที่จะกินยาไม่สม่ำเสมอน้อยกว่า กดเชื้อได้ดีกว่า มีสุขภาพทางเพศที่ดีกว่า และมีความมั่นใจที่จะแสดงผลเลือดของตัวเองมากกว่า (เดี๋ยวแปะลิ้งเปเปอร์ให้ท้าย thread) ส่วนของไทยเองก็มีงานวิจัยเหมือนกันแต่ยังไม่ตีพิมพ์ (6)

ดังนั้นในงาน International AIDS Society ครั้งล่าสุดที่บริสเบน จึงมีการประท้วงเกิดขึ้นจากกลุ่ม ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ แพทย์ และบุคลากรอื่นๆ บอกว่าบุคลากรทางการแพทย์ควรกล้าพูดอย่างมั่นใจได้แล้วว่า U=U คือ ความเสี่ยงการส่งต่อเชื้อ = 0 (Zero risk) //ขอแนบภาพบรรยากาศ (7)

ล่าสุด WHO ออก Policy brief ฉบับใหม่ปีนี้เลย ที่จะเปลี่ยนคำนิยามเรื่อง viral suppression และความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ >> สรุปง่ายๆคือเพิ่มเรื่อง viral load < 1,000 copies/ml ว่าแทบไม่มีความเสี่ยงในการส่งต่อเชื้อแล้วด้วย (8)

ที่มาเล่าคืออยากแชร์ว่า concept นี้มันเป็นที่ยอมรับจนเป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆอีก เพราะฉะนั้นเราควรพูดให้มันแพร่หลาย เพราะมันจะช่วยลดความเกลียดกลัว HIV ได้ ที่สำคัญกว่าคือทำให้คนที่อยู่ร่วมกับเชื้อตีตราตัวเองน้อยลง (ลด self stigma)

จบแล้วแหละ อันนี้ลิ้งค์เปเปอร์ใน ข้อ (6) ครับ: pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32732335/

เอ้ออ 1 ธค นี้ เป็น #วันเอดส์โลก นะครับบ มาร่วมกันรณรงค์ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV กัน 🫶🏼